เชื้อราในลำไส้.. จริงหรือหลอก? (Candidiasis & Dysbiosis)

หลังจากที่คราวก่อนเราได้พูดกันถึงทฤษฏีลำไส้รั่วกันไปแล้ว ครั้งนี้เรามาดูสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของอาการลำไส้รั่วที่เราได้กล่าวถึงให้ฟังคร่าวๆไปแล้วค่ะ นั่นคือเชื้อราในลำไส้



เชื้อราในลำไส้

หลายท่านคงเคยได้ยินโรคเชื้อราในผิวหนัง หรือหนังศีรษะไปแล้ว เชื้อราในลำไส้ก็เช่นกัน เพียงแค่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในโดยเฉพาะผิวลำไส้ ซึ่งเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศน์ภายในร่างกาย  แต่ยังประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา แบคทีเรีย ตลอดจน จุลินทรีย์มีชีวิตต่างๆ ทั้งนี้ ในระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ จุลินทรีย์จะอยู่อย่างพึ่งพากันและกันอย่างสมดุลไม่มีตัวใดตัวหนึ่งที่มากหรือน้อยเกินไป  ซึ่งจะปัญหาลำไส้รั่วเกิดขึ้นได้ยาก แต่ในกรณีที่จุลินทรีย์ขาดสมดุลทางระบบนิเวศน์ (Dysbiosis) มีเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่มากเกินไป กระทั่งทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้น และกลายเป็นปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาในที่สุด

เชื้อราในลำไส้คืออะไร

เขื้อราในลำไส้

เชื้อราในลำไส้ที่พบกันมากคือเชื้อราประเภท “Candida Albicans“ ทั้งนี้หากเรียกว่าอาการของโรคเชื้อราในลำไส้ก็ดูจะไม่ถูกนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในลำไส้ของเรามีเชื้อราเจริญเติบโตมาอยู่แล้วแต่เดิม แต่ในกรณีของเชื้อราในลำไส้นี้ เป็นกรณีที่มีเชื้อรามากเกินไปจนแย่งพื้นที่การเจริญเติบโตกับแบคทีเรีย และจุลินทรีย์อื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาวะแวดล้อมในลำไส้เอื้อให้เชื้อราเจริญเติบโต และไปรุกล้ำอาณาเขตของเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ เมื่อเกิดนานเข้าทำให้ลำไส้เสียสมดุลก็จะทำให้เกิดอาการต่างๆดังนี้

  • ระบบทางเดินอาหาร: กรดไหลย้อน, ท้องอืดเฟ้อ, ปวดมวนท้อง, ท้องเสีย, ท้องผูก,  อาหารไม่ย่อย, เรอหลังอาหาร มีเมือกปกคลุมอุจจาระ, ริดสีดวงทวาร, คันที่รูทวาร
  • ผิวหนัง: เป็นสิว, ผื่นแพ้, คันตามผิวหนัง, เหงื่อออกตอนกลางคืน, ผิวหนังอักเสบ, มีเชื้อราที่ผิวหนัง หรือเล็บ, มีเชื้อราที่เท้า, มีกลิ่นตัว

  • ภายในช่องปาก: ฝ้าคราบสีขาวปกคลุมลิ้น, ริมฝีปากล่างบวม, มีกลิ่นปาก, ในปากมีรสชาติคล้ายทานโลหะ, เลือดออกตามรินฟัน, ลิ้นเป็นแผล, ลมหายใจมีกลิ่น

  • ระบบทางเดินหายใจ: ไอเป็นประจำโดยไม่ทราบสาเหตุ, ฝ้าขาวในลำคอ, เจ็บคอ, มีไซนัสอุดตัน, มีภูมิแพ้ มีอาการคล้ายไข้หวัด, โพรงไซนัสอักเสบ, หืดหอบ

  • ระบบตา- หู: เจ็บ คันตา, มองเห็นภาพไม่ชัด, อ่อนไหวกับแสงแดด, มีถุงใต้ตา, ติดเชื้อในช่องหู, ได้ยินเสียงดังในหูโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ระบบสืบพันธุ์และ ปัสสาวะ: มีการติดเชื้อเรื้อรัง, ติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะ, มีถุงน้ำในกระเพาะปัสสาวะ (เนื่องมาจากการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ), มีอาการหลังหมดประจำเดือน, ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ, มีอาการผื่นคันเนื่องมาจากเชื้อรา

  • ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย: มักเป็นไข้หวัดบ่อย มีอาการภูมิแพ้ ผื่นคัน, แพ้อาหาร, น้ำหอม และสารเคมี ภูมิคุ้มกันต่ำทำให้มักมีอาการติดเชื้อ

  • น้ำหนัก: มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก มีอาการบวมน้ำ หรือน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว

  • อาการอื่นๆ: ปวดหัว ใจสั่น ปวดเจ็บตามข้อ กล้ามเนื้อ รู้สึกเอ็นตึง แข็ง

อาการเหล่านี้เราได้รวบรวมมาจากคนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเชื้อราในลำไส้ หลายท่านที่มีปัญหาลำไส้รั่วอาจไม่ได้มีครบทุกอาการตามข้างต้น  ขณะเดียวกันไม่ได้หมายความว่าสาเหตุสำคัญของปัญหาเหล่านี้คือเชื้อราในลำไส้ เพียงแค่เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่มีเชื้อราในลำไส้เท่านั้น ทั้งนี้อาการต่างๆก็อาจมีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตด้วยเช่นกัน

สาเหตุของเชื้อราในลำไส้


ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าโดยความจริงแล้ว ในลำไส้ของเรามีเชื้อราอาศัยอยู่เป็นเรื่องปกติ แต่การที่มีเชื้อรามากเกินไปจนเสียสมดุล นั่นอาจเป็นเพราะสาเหตุปะปนกันหลายประการ สาเหตุหลักก็คือการที่สภาวะแวดล้อมในลำไส้ มีสภาพที่เอื้อให้เชื้อราเจริญเติบโตได้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง การที่เศษกากอาหารที่เราทานเข้าไปได้รับการแปรเปลี่ยนให้เป็นอาหารชั้นดีของเชื้อรา ทำให้เชื้อรายิ่งแพร่กระจายได้มากขึ้น การที่ในร่างกายมีจุลินทรีย์ที่ดีอื่นๆอยู่ในปริมาณน้อย ไม่เพียงพอที่จะต้านทานการเจริญเติบโตของเชื้อรา นอกจากนี้ ยังมีการทานอาหารที่มีเชื้อราปะปน ตลอดจนการที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ ไม่สามารถทำลายเชื้อราแบคทีเรียที่เราอาจเผลอทานเข้าไปได้ ทำให้เกิดการย่อยที่ไม่สมบูรณ์ เป็นต้น

การรักษาเชื้อราในลำไส้

 

เราจะพบว่าหลายครั้ง ในวงการแพทย์เอง มักตั้งแง่เป็นปฏิปักษ์กับเชื้อโรค เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัสต่างๆ เมื่อเกิดอาการติดเชื้อขึ้น เราก็มักได้รับคำแนะนำว่าให้ทานยาฆ่าเชื้อไปทันที แต่หลายครั้งการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกลับไม่ใช่หนทางของการรักษาที่เห็นผลอย่างยั่งยืน เพราะอาการต่างๆกลับไม่หายขาด และเมื่อยาหมดฤทธิ์ เชื้อร้ายต่างๆก็แผลงฤทธิ์อีกที


ทั้งนี้การรักษาเชื้อราในลำไส้ที่ต้นเหตุจริงๆเราจึงควรเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสำคัญ ได้แก่

  • เลี่ยง: หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอาหารของเชื้อรา เช่น อาหารที่มีน้ำตาล แป้ง ขนมปัง พาสต้า ได้ นอกจากนี้ยังควรเลียงอาหารที่มีความเสี่ยงว่าจะมีเขื้อราแอบแฝงอยู่เข่น อาหารเก่า อาหารแห้งที่เก็บไว้นาน ตลอดจนเลี่ยงยาปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อราและแบคทีเรีย เพราะยาเหล่านี้จะฆ่าแบคทีเรียที่ดีไปด้วยในขณะเดียวกัน


  • เพิ่ม: ทานอาหารที่ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้เช่นอาหารหมักที่มีจุลินทรีย์ทีดี หรือโพรไบโอติกส์ หรืออาหารกากใยซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีอีกทีหนึ่ง เช่น พรีไบโอติก เป็นต้น ตลอดจนทานอาหารที่ช่วยให้น้ำย่อยทำงานหลั่งได้ดีเพื่อให้สามารถช่วยทำลายเชื้อราที่อาจแฝงอยู่ในอาหารให้ออกไปได้ เช่นอาหารที่มีค่าความเป็นกรดสูง เพราะจะเป็นตัวไปกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยให้ออกมาได้ดีมากขึ้น


  • เปลี่ยน: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอื่นๆ เช่น การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่ทานผลไม้ของหวาน หลังทานอาหารทันที เนื่องจากน้ำตาลในผลไม้นี้จะไม่สามารถย่อยได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นอาหารของเชื้อรา โดยควรเปลี่ยนเป็นการทานผลไม้ตอนท้องว่างแทน เลี่ยงการทานน้ำเป็นปริมาณมากระหว่างหรือหลังการทานอาหารในทันที เนื่องจากน้ำนั้นจะเป็นตัวไปทำให้น้ำย่อยมีความเจือจาง ส่งผลให้ไม่สามารถทำการย่อยได้อย่างสมบูรณ์ หลีกเลี่ยงการทานน้ำเย็น น้ำแข็ง หรือ น้ำอัดลม ให้ทานน้ำอุ่น หรือน้ำชาแทน พยายามขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอให้เป็นปกติเพื่อเลี่ยงการหมักหมมของจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้  ไม่ทานอาหารเป็นปริมาณมากเกินไป เนื่องจากน้ำย่อยอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ เกิดเป็นความเสี่ยงที่อาหารไม่ได้รับการย่อยอย่างสมบูรณ์และเกิดเป็นอาหารของเชื้อราต่อไป ไม่เครียด เนื่องจากความเครียดจะทำให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายทำงานบกพร่องซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการ



การรักษาโรคเชื้อราในลำไส้โดยใช้หลักการธรรมชาติบำบัดเป็นการเน้นให้ระบบนิเวศน์ในลำไส้เกิดความสมดุล โดยเราเน้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อช่วยให้จุลินทรีย์และเชื้อราอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่เกิดการเบียดเบียน เมื่อเราเข้าใจสาเหตุต่างๆพร้อมทั้งเหตุผลการปฏิบัติตัวต่างๆได้ดังนี้แล้ว การใช้ธรรมชาติเพื่อบำบัดก็คงจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเกินแก้ เพียงแต่ระยะเวลาที่จะเห็นผลคงไม่ได้เร็วนักขึ้นอยู่กับความเคร่งครัดในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญคะ

เอกสารอ้างอิงเชิงวิชาการ

 

Arrieta, M. C. (2006). Alterations in intestinal permeability. Gut, 55(10), 1512-1520. doi:10.1136/gut.2005.085373

 

Bischoff, S. C., Barbara, G., Buurman, W., Ockhuizen, T., Schulzke, J., Serino, M., . . . Wells, J. M. (2014). Intestinal permeability – a new target for disease prevention and therapy. BMC Gastroenterology,14(1). doi:10.1186/s12876-014-0189-7

 

Fukui, H. (2015). Gut-liver axis in liver cirrhosis: How to manage leaky gut and endotoxemia. World Journal of Hepatology, 7(3), 425. doi:10.4254/wjh.v7.i3.425

 

Kennedy, P. J. (2014). Irritable bowel syndrome: A microbiome-gut-brain axis disorder? World Journal of Gastroenterology, 20(39), 14105. doi:10.3748/wjg.v20.i39.14105

 

Lyon, M. R., & Laurell, G. C. (2002). Is your child’s brain starving?: Food, not drugs, for life and learning. Canada: Mind Pub.

 

Marchesi, J. R., Adams, D. H., Fava, F., Hermes, G. D., Hirschfield, G. M., Hold, G., . . . Hart, A. (2015). The gut microbiota and host health: A new clinical frontier. Gut, 65(2), 330-339. doi:10.1136/gutjnl-2015-309990

 

Wu, H., & Wu, E. (2012). The role of gut microbiota in immune homeostasis and autoimmunity. Gut Microbes, 3(1), 4-14. doi:10.4161/gmic.19320
Leave a reply